สถานีวิทยุนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์ ,Nakhonsawantok Radio หรือเรียกว่า , HAPPY RADIO , FM 89.5 MHZ. , จัดเป็นสถานีวิทยุในจังหวัดนครสวรรค์ คลื่นเดียวในตอนนี้ที่เปิดเพลงสากลตลอดทั้งวัน หลากหลายแนว เช่น ROCK ,POP,DANCE,HIP HOP,JAZZ ,COUNTRY ,R&B ทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ล่าสุดจาก USA & UK โทรศัพท์ 056-330582 และ 081-1725974 e-mail : happyradio_2555@hotmail.com สนใจเข้าชม Blog ที่ nakhonsawanradio.blogspot.com
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ประวัติวงดนตรี คณะ ทราวิส (Travis )
วงทราวิส (Travis )
ฟอร์มวงในช่วงกลางปี 90 ที่ Glasgow สกอตแลนด์ โดยวงดั้งเดิมชื่อ the Glass Onion ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกไปมา และจนท้ายที่สุดก็มาลงตัวที่
- Francis Healy (ฟรานซิส ร้องนำ)
-Andy Dunlop (แอนดี้ กีตาร์)
- Neil Primrose (นีล กลอง)
- Dougie Payne (ดักกี้ เบส)
และเมื่อสมาชิกทั้งหมดเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะ ทั้งหมดก็ได้เริ่มคิดจริงจังกับศักยภาพของวง และเริ่มออก EP แรกซึ่งมีชื่อว่า All I Wanna Do Is Rock ด้วยเงินที่ได้มาจากการขอเงินแม่มาทำ ผลคือ All I Wanna Do Is Rock เป็นเพลงกีตาร์ง่ายๆ ที่เหมือนกับเรียกได้ว่าเป็นการ Back to Basic ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมหลังจากการดังระเบิดของ Oasis และจริงๆ แล้ว เพลงนี้ทางวงตั้งใจใช้คำว่า Fxxk แทน Rock ด้วยซ้ำ Travis ได้กลายเป็นวงวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงน้องใหม่อย่าง Independiente ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นบ้านของศิลปินอย่าง Embrace, Kinesis หรือ Gomez ต่อมาจึงตัดสินใจย้ายไปที่ลอนดอนในปี 1996 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการออกซิงเกิลที่ชื่อว่า U-16 Girl ที่เป็นเพลงสนุกๆ และทำให้พวกเขามีแฟนเพลงชื่อดังอย่าง Noel Gallagher มาชวนไปเล่นคอนเสิร์ทด้วย
ในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Good Feeling ด้วยการโปรดิวซ์ของ Steve Lilywhite โปรดิวเซอร์คู่บุญของ U2 ในปี 1997 และมีเพลงดังเก่า 2 เพลงข้างต้นรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้แล้ว เพลงอื่นๆ เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ทำให้นึกถึงความสนุกแบบที่ The Beatles เคยมอบให้เรามาก่อนอย่าง Tied to the 90' เพลง More Than Us ที่ช้าๆ แต่ซึ้งสุดหัวใจ เรียกได้ว่า Travis ได้จับเอาจุดเด่นๆ ของวงอังกฤษอย่าง The Beatles หรือ Oasis มาผสมผสานจนได้แนวเพลงของตัวเองขึ้นมา และ Good Feeling ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ทั่วสารทิศ แต่ในแง่ยอดขายแล้ว มันกลับทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
พวกเขาเก็บความผิดหวังเอาไว้กับตัว และมุ่งหน้าเดินสายทัวร์และเริ่มงานอัลบั้มชุดใหม่ โดยหันไปร่วมงานกับ Nigel Godrich โปรดิวเซอร์คู่บุญของวงระดับตำนานอย่าง Radiohead และพวกเขาก็เปิดตัวอัลบั้มนี้ด้วยเพลงช้าๆ เนิบๆ ที่ชื่อ Writing to Reach You ซึ่งต่างไปจากความเป็นร็อกสนุกๆ ของอัลบั้มที่แล้วเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้พวกนักวิจารณ์เริ่มแอนตี้พวกเขา และยิ่งเมื่อพวกเขาออกอัลบั้มเต็มที่ชื่อว่า The Man Who ที่เต็มไปด้วยเพลงช้าๆ กึ่งหดหู่แล้ว ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าให้นักวิจารณ์สับเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยปาฏิหาริย์ที่ Glastonbury ทั้งๆ ที่ฝนหยุดตกมานานแล้ว แต่พอวงเล่นเพลง Why Does It Always Rain on Me ซึ่งเป็นซิงเกิลต่อมา ฝนกลับตกลงมาอีกครั้ง จนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และจุดกระแสให้ผู้คนสนใจพวกเขา จนยอดขายดีขึ้นมามาก
และซิงเกิลต่อมา Driftwood ก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีที่ พร้อมทั้งได้เบิกทางให้กับวงรุ่นหลังอย่าง Coldplay หรือ Keane และสุดท้ายแล้ว The Man Who ก็ทำให้พวกเขาคว้ารางวัล Brit Award มาครองได้อย่างงดงาม ทางวงเดินตามรอยความสำเร็จเดิมด้วยการออกอัลบั้ม The Invisible Band ในปี 2001 โดยมีเพลง Sing เป็นเพลงเปิดตัวที่เป็นเหมือนเพลงปลุกใจแบบเงียบๆ และตามด้วยเพลง Side ที่เนื้อเพลงนั้นยอดเยี่ยมจนทำให้เราต้องหันย้อนกลับมามองตัวเอง Flower in the Window เพลงหวานๆ ที่เปรียบเปรยความรักได้อย่างงดงาม และ Follow the Light ให้ความหวังกับเราเสมอ และก็ไม่แปลกเลยที่อัลบั้มยอดเยี่ยมแบบนี้สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ฮิตระเบิดไปทั่วโลก
และพวกเขาก็ออก 12 Memories ในปี 2004 และ The Boy With No Name ในปี 2007 ก็ยังกลายเป็นงานฮิตชั้นดีเหมือนเดิม และอัลบั้มล่าสุด Ode to J Smith ในปี 2009
ประวัติวงดนตรีคณะ พิงก์ ฟลอยด์ (Pink Floyd)
ตำนานดนตรี โปรแกรสซีฟร็อค Progress Rock
พิงก์ ฟลอยด์ (Pink Floyd)
วงดนตรีวงนี้ถือกำเนิดขึ้นจากประเทศอังกฤษ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สมาชิกรุ่นดั้งเดิมประกอบด้วย Syd Barrett นักศึกษาคณะศิลปกรรม ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ ร้องนำ และเขียนเพลง Roger Waters นักศึกษาคณะสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือเบส Nick Mason นักศึกษาสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือกลอง และ Rick Wright นักศึกษาสถาปัตย์เช่นกัน ทำหน้าที่มือคีย์บอร์ด
Pink Floyd เป็นวงดนตรีที่มีวิวัฒนาการทางดนตรียาวนานถึง 30 กว่าปี แนวเพลง ซึ่งพัฒนาเรื่อยๆ ทั้ง Psychidelics ,Syphonic Rock , Progressive Rock , Art Rock จงไปถึง Serious Music และผู้นำของวงในแต่ละยุคซึ่งแตกต่างกันไป ภายหลัง Syd Barrett ได้ออกจากวงไป โดยได้ David Gilmour มาทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์แทน Rick Wright ได้ถูกไล่ออกจากวงในช่วง ทำอัลบั้มชุด The Wall และได้กลับเข้าวงใหม่ในช่วงอัลบั้ม A Momentary Lapse Of Reason และภายหลังทำอัลบั้ม The Final Cut ในปี ค.ศ. 1983 Roger Waters ก็ประกาศลาออกจากวง จึงทำให้วงเหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ David Gilmour,Nick Mason, Rick Wright
พิงก์ ฟลอยด์ (Pink Floyd)
วงดนตรีวงนี้ถือกำเนิดขึ้นจากประเทศอังกฤษ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สมาชิกรุ่นดั้งเดิมประกอบด้วย Syd Barrett นักศึกษาคณะศิลปกรรม ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ ร้องนำ และเขียนเพลง Roger Waters นักศึกษาคณะสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือเบส Nick Mason นักศึกษาสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือกลอง และ Rick Wright นักศึกษาสถาปัตย์เช่นกัน ทำหน้าที่มือคีย์บอร์ด
Pink Floyd เป็นวงดนตรีที่มีวิวัฒนาการทางดนตรียาวนานถึง 30 กว่าปี แนวเพลง ซึ่งพัฒนาเรื่อยๆ ทั้ง Psychidelics ,Syphonic Rock , Progressive Rock , Art Rock จงไปถึง Serious Music และผู้นำของวงในแต่ละยุคซึ่งแตกต่างกันไป ภายหลัง Syd Barrett ได้ออกจากวงไป โดยได้ David Gilmour มาทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์แทน Rick Wright ได้ถูกไล่ออกจากวงในช่วง ทำอัลบั้มชุด The Wall และได้กลับเข้าวงใหม่ในช่วงอัลบั้ม A Momentary Lapse Of Reason และภายหลังทำอัลบั้ม The Final Cut ในปี ค.ศ. 1983 Roger Waters ก็ประกาศลาออกจากวง จึงทำให้วงเหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ David Gilmour,Nick Mason, Rick Wright
พิงก์ ฟลอยด์ (Pink Floyd) เป็นวงดนตรี ร็อค จากประเทศอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จ และมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีร็อกมากที่สุดวงหนึ่ง มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกถึง 250 ล้านชุด ยอดขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 73.5 ล้านชุด อัลบั้ม The Dark Side of the Moon ของทางวง ติดอันดับ 1 ใน 200 อันดับแรกของนิตยสารบิลบอร์ด เนื่องนานถึง 741 สัปดาห์ หรือ 15 ปี ระหว่าง ค.ศ.1973-1988 สถิติยาวนานที่สุดและสามารถสร้างสถิติในอังกฤษด้วยการอยู่บนชาร์ทได้นาน 301 สัปดาห์ ถึงแม้จะขึ้นสูงสุดที่อันดับ 2
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เดอะ โปลิส (The Police)
เดอะ โปลิส (The Police)
เป็นวงร็อกที่สร้างปรากฏการณ์ให้วงการดนตรียุคต้น 80 ประกอบไปด้วยนักดนตรีฝีมือฉกาจอย่าง กอร์ดอน ซัมเนอร์ (Gordon Sumner) หรือที่รู้จักในนามของ สติง (Sting) (ร้องนำ และ เบส) แอนดี้ ซัมเมอร์ส (Andy Summers) (กีต้าร์) และ สจ๊วต โคปแลนด์ (Stewart Copeland) (กลอง)
แนวเพลงที่โดดเด่นของพวกเขา คือแนวร็อกที่ได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงแจ๊ส เร็กเก้ และ พังก์ จึงทำให้วงนี้สร้างความแตกต่างไปจากวงร็อกอื่นๆ ซึ่งพวกเขาออกอัลบั้มมาแล้ว 5 อัลบั้ม ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองบนเส้นทางดนตรีต่อไป
อัลบั้มนี้เป็นผลงานฉลองครบรอบ 30 ปี ของวง ประกอบไปด้วย 28 เพลง เรียงตามอัลบั้ม ในรูปแบบของซีดี 2 แผ่น นับตั้งแต่ Outlandos d'Amour อัลบั้มแรกของพวกเขา เมื่อปี 1978 ที่มีซิงเกิลเปิดตัวอย่างเพลง Roxanne โดยที่มาของชื่อเพลงมาจากชื่อตัวละครในละครเรื่อง Cyrano de Bergerac
รวมถึงเพลงอื่นๆ เช่น Message in a Bottle เพลงจากอัลบั้ม Reggatta de Blanc ปี 1979 ที่เปรียบเปรยเกาะและขวด กับชายคนหนึ่งที่ไม่สมหวังในความรัก และพยายามขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ แต่แล้วเขาก็พบว่ามีคนมากมายที่เป็นเช่นเดียวกันเขา เพลงนี้จึงเป็นการแนะนำให้ทุกคนรู้จักรับมือกับความสูญเสียและโดดเดี่ยว ราวกับเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งของชีวิต
Don't Stand So Close to Me เป็นเพลงในอัลบั้ม Zenyatta Mondatta เมื่อปี 1980 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้สึกของครูคนหนึ่งที่มีต่อลูกศิษย์สาว โดยเนื้อเพลงยังกล่าวถึง นาโบคอฟ ซึ่งเป็นนัยหมายถึง วลาดิเมียร์ นาโบคอฟ (Vladimir Nabokov) ผู้แต่งนวนิยาย Lolita ซึ่งมีเรื่องราวใกล้เคียงกับเพลงนี้
ขณะที่ Invisible Sun เป็นเพลงจากอัลบั้ม Ghost in the Machine ในปี 1981 ที่ให้ความรู้สึกหม่นหมอง แปลกแยกจากเพลงทั่วไปของ เดอะ โปลิส โดยมีเนื้อหาเพลงพาดพิงถึงอาวุธที่มักจะใช้ในขบวนการไออาร์เอ
เรื่อยมาจนถึงเพลง Every Breath You Take ซึ่งเป็นเพลงที่ สติง เขียนขึ้นจากชีวิตคู่ที่ล่มสลายของเขากับ ฟรานเซส โทเมลตี้ (Frances Tomelty) จากอัลบั้ม Synchronicity ปี 1983
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ประวัติวงดนตรี คณะ ดิ อีเกิ้ล The Eagles
คณะ ดิอีเกิ้ล (the eagles )
พญาอินทรี ซึ่งประกอบด้วย Glenn Frey,Don Henley,Joe Walsh และ Timothy B. Schemit หนุ่มชาวอเมริกันทั้ง 4 คน ก่อตั้งวงเมื่อปี 1971 มีอัลบั้มชุดแรกในปี 1972 ชื่ออัลบั้ม EAGLE และอีก 8 อัลบั้ม ได้แก่
-DESPARADO (1973)
-ON THE BORDER (1974)
-ONE OF THIS NIGHT (1975)
-HOTEL CALIFORNIA (1976)
-THE LONG RUN (1979)
-EAGLE LIVE (1980)
-HELL FREZZES OVER (1994)
ถ้าไม่นับ 2 ชุดล่าสุดที่เป็นบันทึกการแสดงสดและรวมฮิต อัลบั้มล่าสุดที่ชื่อ LONG ROAD OUT OF EDEN (2007) ถือเป็นอัลบั้มชุดที่ 7 โดยพวกเข้าไม่ได้ออกผลงานชุดใหม่เลยในรอบ 28 ปี อัลบั้มนี้มีเพลงถึง 20 เพลงที่เดียว
***เพิ่มเติมข้อมูล ได้ที่ ลิ้งก์ http://acousticthai.net/the_eagles.html *****
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ประวัติวงดนตรี คณะ Led Zeppelin
กำเนิดวงดนตรีคณะ Led Zeppelin
หลังจากได้ร่วมทำงานในอัลบั้มสุดท้าย ก่อนที่ The Yardbirds จะสลายวงในปี 1967 จิมมี่ เพจ (Jimmy Page) มือกีตาร์ของวงก็ต้องกลับไปเป็น “มือปืนรับจ้าง” ใน ห้องบันทึกเสียงเหมือนอย่างเก่า แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มฟอร์มวงขึ้น มา โดยชักชวนพรรคพวกที่เป็นนักดนตรีรับจ้างด้วยกันคือ จอห์น พอล โจนส์ (John Paul Jones) มือเบสส์ กับเทอร์รี่ เรลด์ (Terry Reld) นัก ร้อง และบี.เจ. วิลสัน (B.J. Wilson) มือกลองของวง Procol Harum เข้าร่วมฟอร์มวง
แต่ทั้งเทอร์รี่ เรลด์ และบี.เจ. วิลสัน กลับปฏิเสธ...อย่างไรก็ตามเทอร์รี่ เรลด์ได้แนะนำและติดต่อ โรเบิร์ต แพนท์ (Robert Plant) นักร้องของวง Hobbstweedle ให้ เข้ามาแทน ซึ่งทั้งสองก็ศรศิลป์กินกัน เพราะจิมมี่ เพจ ชื่นชอบในเสียงร้อง ของโรเบิร์ต แพลนท์ ตั้งแต่หนแรกที่ได้ยิน ส่วนตัวของโรเบิร์ต แพลนท์เองก็ ไม่ปฏิเสธ เพราะคุ้นเคยกับฝีมือและชื่อเสียงของจิมมี่ เพจ สมัยอยู่กับวง The Yardbirds เป็นอย่างดี และเมื่อรู้ว่ายังขาดมือกลองอยู่ โรเบิร์ต แพลนท์ ก็แนะนำจอห์น บอนแฮม (John Bonham) มือกลองวงเก่าของตัวเองคือ Band of Joy ให้ จิมมี่ เพจได้พิจารณา และเมื่อได้เห็นฝีมือหวดกลองของจอห์น บอนแฮม ทางจิ มมี่ เพจก็ไม่รอช้ารีบชักชวนให้เข้ามาร่วมวงทันที ซึ่งจอห์น บอนแฮมก็ไม่ ปฏิเสธเช่นกัน
ดังนั้นในเดือนกันยายน ปี 1968 ทั้ง 4 คนจึงได้เปิดตัววงใหม่ ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า New Yardbirds
ด้วยที่แต่ละคนก็มีฝีมือ และผ่านสังเวียนดนตรีมามากพอ เพราะฉะนั้นพอตั้งวงกันได้พวกเขาก็เดินเข้า ห้องอัดเสียงทันที และพอบันทึกเสียงเสร็จพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าให้ เปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Led Zeppelin รวมทั้งใช้ชื่ออัลบั้มว่า Led Zeppelin I...อัลบั้ม ชุดนี้ออกวางในปี 1969 และออกวางได้เพียงเดือนเศษก็สามารถไต่อันดับขึ้นไป ถึงอันดับ Top 10 ของอเมริกาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อประสบกับความสำเร็จที่ เกินคาด Led Zeppelin ใช้เวลาตลอดทั้งปี 1969 ที่เหลือหมดไปกับการทัวร์ คอนเสิร์ต และพร้อมกับทำงานชุดที่ 2 Led Zeppelin II ควบ คู่กันไปด้วยดังนั้นในเดือนกันยายน ปี 1968 ทั้ง 4 คนจึงได้เปิดตัววงใหม่ ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า New Yardbirds
และในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน( ปี 1969) อัลบั้ม Led Zeppelin II ก็ ออกวางตลาด และก็เหมือนกับอัลบั้มแรก คือประสบกับความสำเร็จอ่างท่วมท้นเช่น เดียวกัน รวมทั้งสามารถไต่อันดับชาร์ทขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ในเวลา เพียง 7 สัปดาห์
ในปี 1970 อัลบั้มชุดที่ 3 Led Zeppelin III ก็ตามออกมาติดๆ และในอัลบั้มชุดนี้ทางวงก็ได้นำ British Folk เข้ามาผสม
ในปี 1971 มีอัลบั้มชุดที่ 4 Led Zeppelin IV ที่ออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 1971 เพลงในชุดนี้แม้จะคงความเป็นร็อคที่จัดจ้านและหนักหน่วงอย่างเพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล
แต่ในเพลงอื่นๆก็ยังผสม Folk เข้าไปไว้อย่างสวยงามอย่างเช่น The Battle of Evermore หรืออย่างเพลง Stairway to Heaven ก็ มีเนื้อหาที่กินใจและทำนองที่ไพเราะ และได้รับความนิยมมากกว่า เพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลเสียอีก และอัลบั้มชุดนี้ประสบความ สำเร็จอย่างสูง เพราะสามารถขายได้ถึง 16 ล้านแผ่น
ในปี 1973 อัลบั้มชุดที่ 5 House of the Holy ก็ ตามออกมาด้วยสีสันของดนตรีที่มี Funk และ Reggae เข้ามาผสมโดยอยู่ภายใต้ โครงสร้างของร็อคหนักๆเช่นเดิม ในปีนี้พวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ตที่เมดิ สัน สแคว์ การ์เดน และการแสดงครั้งนี้ได้ถูกบันทึกเป็นภาพยนตร์โดยใช้ชื่อ ว่า The Song Remains the Same และนำออกมาฉายในอีก 3 ปีให้หลัง รวมทั้งได้ทรานเฟอร์มาเป็นแผ่นดีวีดีในอีกหลายๆปีต่อมา
ในปี 1974 พวก เขาไม่มีงานทัวร์คอนเสิร์ต และงานเพลงในสตูดืโอออกมา เพราะพวกเขาไปหมกมุ่น อยู่กับการเปิดสังกัด Swan Song ของตัวเองขึ้นมา เพื่อผลิตงานของตัวเองรวม ทั้งรับวงดนตรีที่อยู่ในแวดวงของร็อคด้วยกัน อาทิ เช่น Bad Company, Pretty Things และ Dave Edmund เข้ามาอยู่ในสังกัด...
ใน ปี 1975 พวกเขาก็ออกอัลบั้มชุดที่ 6 ออกมาเป็นอัลบั้มคู่ชื่อ Physical Graffiti ซึ่ง ก็ได้รับความสำเร็จด้วยดีเหมือนกับอัลบั้มก่อนๆที่ผ่านมา และสามารถติดชาร์ททั้งในอเมริกาและอังกฤษในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้พวกเขาต้องกำหนด
ตาราง ทัวร์คอนเสิร์ตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมา เมื่อ โรเบิร์ต แพลนท์และภรรยาประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ โรเบิร์ต แพ ลนท์เดี้ยงยาว ต้องหยุดพักรักษาตัว ตารางทัวร์คอนเสิร์ตก็ต้องล้มเลิกไปโดย ปริยาย
จนถึงปี 1976 Led Zeppelin ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Presence ซึ่งก็ถูกตอบรับอย่างดีจากสาวกของพวกเขา แต่กับกระแสวิจารณ์ไม่มีใครพูดถึง กันมากนัก สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากอัลบั้มชุดนี้ออกขายพร้อมๆกับการออกฉายของ ภาพยนตร์ The Song Remains the Same ที่น่าสนใจกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ทำ ให้ยอดขายของอัลบั้มชุดนี้ตกลงแต่อย่างใด รวมทั้งยังติดอันดับชาร์ทเหมือนกับทุกอัลบั้มที่ผ่านมา...หลังจากอัลบั้ม ชุด Presence ออกวางจำหน่ายได้ไม่นาน ตารางการทัวร์คอนเสิร์ตของทางวงก็ถูก กำหนดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อการทัวร์คอนเสิร์ตเริ่มได้เพียง 2 เดือน เหตุการณ์ ร้ายที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ โรเบิร์ต แพลนท์เข้าอีกจนได้ คราวนี้บุตรชาย อายุ 6 ขวบของเขาเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระเพาะอาหาร โรเบิร์ต แพลนท์ ไม่มีจิตใจที่จะร่วมแสดงคอนเสิร์ตที่เหลือได้อีกต่อไป ทำให้ทางวง ต้องยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ตที่เหลือไปโดยปริยาย...โรเบิร์ต แพลนท์แยกตัว จากวงไปอยู่อย่างสันโดษ เพื่อลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ส่วน สมาชิกอื่นๆของวงก็เก็บตัวกันเงียบ ไม่มีข่าวคราวทางด้านดนตรีออกมาเลย
จนกระทั่งปี 1978 พวก เขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รวมทั้งได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตเล็กๆใน ยุโรป ก่อนจะกลับเข้ามาในสตูดิโอเพื่อทำงานชุดใหม่หรือชุดที่ 8 ชื่อ In Througe the Out Door ออกวางจำหน่ายในปี 1979 และประสบกับความสำเร็จเช่นเดิม รวมทั้งขึ้นไปอยู่ อันดับ 1 ทั้งในอเมริกาและยุโรป...จากความสำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ และการ ห่างเหินจากการทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ๆมานาน พวกเขาก็วางโปรแกรมที่จะออกทัวร์ คอนเสิร์ตกันอีกหน คราวนี้ออกทัวร์กันยาวนานหน่อย โดยวางแผนไว้ว่าจะสิ้นสุด การทัวร์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 กันโน่นเลย ในขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนที่จะทำอัลบั้มชุดใหม่ควบคู่กันไปด้วย แต่ แล้วเหตุการณ์ณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดฝันก็เกิดกับพวกเขาจนได้ คราวนี้ค่อนข้าง สาหัสสากรรจ์หน่อย เพราะเกิดกับสมาชิกของวงเอง โดยในเช้าของวันที่ 25 กันยายน 1979 มี คนพบศพจอห์น บอนแฮม มือกลองเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง และแพทย์ที่มา ชันสูตรศพก็ระบุว่าจอห์น บอนแฮมเสียชีวิตเนื่องจากสำลักอาเจียนของตัวเอง เพราะในระยะหลังๆจอห์น บอนแฮมดื่มเหล้าจัดมาก...เมื่อขาดมือกลองทางวงก็ ได้ปรึกษาหารือกัน และสรุปว่าจะไม่หามือกลองคนใหม่มาแทนจอห์น บอนแฮม
ดังนั้นในเดือนธันวาคม ปี 1979 ทาง วง Led Zeppelin ก็ออกมาแถลงขอยุบวงอย่างเป็นทางการ เป็นการปิดฉากและตำนาน อันยิ่งใหญ่ของวงฮาร์ด ร็อคก้องโลก ที่ตั้งแต่เริ่มวงจนถึงประกาศเลิกวง ไม่ มีการเปลี่ยนหรือเพิ่มสมาชิกเข้ามาในวงแม้แต่คนเดียว
บทเพลง Stairway to Heaven ผลงานของ Led Zeppelin
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ประวัติวงดนตรีคณะ C.C.R. (Creedence Clearwater Revival)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R.)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R - Creedence Clearwater Revival) ฟอร์มวงในยุค 60 แกนนำของวง คือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty เล่นดนตรีออกทางแนวเซาธ์เธินท์ร๊อค หรือร๊อคแบบทางใต้ของอเมริกา บทเพลงมีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคม
สมาชิกของวงมี 4 คน ประกอบด้วย
จอห์น โฟเกอร์ตี้ (กีตาร์, ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา, เปียโน), ทอม โฟเกอร์นตี้ (พี่ชาย -กีตาร์, เปียโน), สตู คุค (เบส) และ ดั๊ก ค
ลิฟฟอร์ด (กลอง และเพอร์คัสชัน)
ซีซีอาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซิงเกิล "Suzie Q" ของวง เป็นเพลงแรกที่ขึ้นไปถึงอันดับ Top 40 ในปี 1968 ในปีต่อมาเพลง "Proud Mary" ขึ้นถึงอันดับ 2 ของบิลบอร์ด ทางวงมีผลงานอัลบั้มทั้งสิ้น 7 ชุด มีซิงเกิลขึ้นถึงอันดับ 2 ของอเมริกาทั้งสิ้น 7 เพลง ก่อนจะประกาศยุบวงในปี 1972
เพลงที่โด่งดังอีกเพลงที่คนไทยรู้จักอย่างดี คือ Have You Ever Seen The Rain? บทเพลงที่ประท้วงสงครามเวียดนาม พูดถึงสายฝนในเวียดนาม (ฝนดำที่เต็มไปด้วยยาพิษ)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R - Creedence Clearwater Revival) ฟอร์มวงในยุค 60 แกนนำของวง คือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty เล่นดนตรีออกทางแนวเซาธ์เธินท์ร๊อค หรือร๊อคแบบทางใต้ของอเมริกา บทเพลงมีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคม
สมาชิกของวงมี 4 คน ประกอบด้วย
จอห์น โฟเกอร์ตี้ (กีตาร์, ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา, เปียโน), ทอม โฟเกอร์นตี้ (พี่ชาย -กีตาร์, เปียโน), สตู คุค (เบส) และ ดั๊ก ค
ลิฟฟอร์ด (กลอง และเพอร์คัสชัน)
ซีซีอาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซิงเกิล "Suzie Q" ของวง เป็นเพลงแรกที่ขึ้นไปถึงอันดับ Top 40 ในปี 1968 ในปีต่อมาเพลง "Proud Mary" ขึ้นถึงอันดับ 2 ของบิลบอร์ด ทางวงมีผลงานอัลบั้มทั้งสิ้น 7 ชุด มีซิงเกิลขึ้นถึงอันดับ 2 ของอเมริกาทั้งสิ้น 7 เพลง ก่อนจะประกาศยุบวงในปี 1972
เพลงที่โด่งดังอีกเพลงที่คนไทยรู้จักอย่างดี คือ Have You Ever Seen The Rain? บทเพลงที่ประท้วงสงครามเวียดนาม พูดถึงสายฝนในเวียดนาม (ฝนดำที่เต็มไปด้วยยาพิษ)
ประวัติวงดนตรีคณะ อเมริกา America
คณะ อเมริกา (AMERICA)
คณะ America มี สมาชิก 3 คน คือ Gerry Beckley, Dewey Bunnell และ Dan Peek รวมตัวกันในปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาทั้งสามเรียนใน High school ใน London ประเทศอังกฤษ เล่นดนตรีร่วมกันตั้งแต่ตอนที่เขายังมีอายุได้ไม่ถึง 20 ปี จนวันหนึ่ง Jeff Dexter (ซึ่งเป็น Producer ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ America ได้ร่วมเซ็นสัญญากับ Warner Bros. และออก Album) ได้มีโอกาสเห็นการแสดงของเขาทั้งสามคน Jeff Dexter มองเห็นแววของเด็กหนุ่มทั้งสาม จึงชวนให้มาทำ Album ในตอนแรกๆ พวกเขามีโอกาสได้เริ่มเล่นเป็นวงเปิดให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายวง เช่น Elton John และ The Who
ในช่วงปี 1970 วงดนตรีของเขาเป็นแบบ Acoustic/Folk Rock ซึ่งช่วงนั้น แม้ว่าเขาทั้งสามจะมีแผนการทำวง แต่ก็ยังคงนึกชื่อวงไม่ออกว่าจะใช้ชื่อว่าอะไร จนวันหนึ่งในร้านอาหารเล็กๆ ที่ Dan Peek, Dewey Bunnell ได้ทำงานอยู่ ขณะที่เขาทั้งสามคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ พวกเขาได้มองเห็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง “Jukebox” และข้างๆ เจ้าเครื่องเล่นเครื่องนี้ ก็มีอักษรที่เขียนคำว่า Americana ไว้ด้านข้าง และแล้วเจ้าเครื่อง Jukebox เครื่องนี้ ก็ทำให้พวกเขาได้ข้อสรุปกับการตั้งชื่อวง เขาทั้งหมดตกกันลงว่าจะใช้ชื่อ "America" เป็นชื่อวง (ตัด NA ออก)
และในปีเดียวกันนี้ เขาทั้งสามได้มีโอกาสทำการเซ็นสัญญา เพื่อออก Album กับ Warner Bros. Records. โดยได้บันทึกเสียง และออกจำหน่ายที่ London เป็นที่แรก โดย Single แรก มีชื่อว่า “A Horse with no name” ซึ่งนับเป็นเพลงที่คนทั่วๆ ไปรู้จักกันเป็นอย่างดี รวมถึงคอเพลงยุค ’70 ในบ้านเราด้วย
ผลงานเพลงชุดนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเกินคาด ใน London มันกลายเป็นเพลง Hit ขึ้นมาทันที ต่อมาช่วงปลายปี 1971 Single : A horse with no name ได้ออกมาจำหน่ายที่อเมริกา ซึ่งขณะนั้น บทเพลงนี้ได้เบียดอันดับบน “Billboard Top Ten Single 1972” กับเพลง Heart of gold ของ Neil Young ซึ่งอยู่ในอันดับ 1 และต่อมาอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง A horse with no name ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทน
– America (1971) อัลบั้มชุดแรกในชีวิตของเขาทั้งสามนี้ ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวได้สำเร็จ และงดงามเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านชื่อเสียง และในด้านยอดขาย ในที่สุด A horse with no name ติด Charts อันดับ 3 ใน U.K. และขึ้นถึงอันดับ 1 ใน U.S. 1972 และในช่วงปี 1972 พวกเขาออก Single ใหม่ที่มีชื่อว่า “ Ventura Highway ” และผลงานนี้ก็ประสบความสำเร็จ โดยได้ติดอันดับ “Billboard Top Ten Single “Ventura Highway” ขึ้นถึงอันดับ 8
ปี 1973 วงของพวกเขาได้รับรางวัล "Grammy Award" สาขาศิลปินหน้าใหม่ (Best new artist of 1972) ต่อจากนั้นพวกเขาได้ออก Album เต็ม โดยใช้ชื่ออัลบัมว่า "Homecoming" สำหรับงานชุดนี้ พวกเขาทั้งสามได้ตัดสินใจทำหน้าที่ Producer กันเอง ซึ่งถือว่าพวกเขาทำได้ดีมากทีเดียว เพราะว่าอัลบัม Homecoming สามารถขึ้นสู่ Album ยอดฮิตอันดับหนึ่งในอเมริกา " โดยมีบทเพลงที่ได้รับความนิยมเช่นบทเพลง Ventura Highway, Don’t Cross a River, Only in your Heart เป็นต้น
ช่วงปี 1973 พวกเขาออกผลงาน Album - Hat Trick โดยมีเพลงฮิตเช่น Muskrat love, Rainbow song, Green Monkey, Goodbye เป็นต้น แต่ผลงาน Album นี้ ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก และหากนำมาเปรียบเทียบกับงานชุดที่ 1 และ 2 อย่าง Homecoming ก็ถือว่าผลงานอัลบั้ม Hat Trick ทำได้ไม่ดีนัก ส่วนอันดับใน Chart US., Hat Trick ก็สามารถขึ้นได้แค่อันดับ 20 เท่านั้น
ต่อมาช่วงต้นๆ ปี 1974 คณะ America ได้มีการปรับเปลี่ยน Producer ใหม่เป็นครั้งแรก โดยพวกเขาได้ Producer มือดี (ระดับพระกาฬ) มาช่วยอีกแรง นั้นคือ "George Martin" อดีต Producer ของวง The Beatles เปรียบเสมือน พระเอกที่ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยคณะ America ไว้ได้ทันเวลา และไม่ช้าพวกเขาก็ได้ออก "Album - Holiday" และในที่สุด America ก็สามารถกลับเข้ามาติดบน Chart Us. ได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพลงอย่าง Tin man (อันดับ 4) และ Lonely people (อันดับ 5)
ประวัติ วงดนตรี คณะ ยุโรป (EUROPE)
วงดนตรีคณะ ยุโรป (EUROPE)
คณะยุโรป เป็นวงดนตรีร็อคจากประเทศสวีเดน ที่เล่นดนตรีในสไตร์เมโลดิกร็อค ถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปินแถบสแกนดิเนียเวีย ดินแดนซึ่งสร้างศิลปินดังๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ABBA ,ALANIS MORRISSETT
คณะยุโรป (EUROPE) ก่อตั้งกันในปี 1976 ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ในยุคแรก คือ
-โจอีย์ เทมเปรส ร้องนำ ,คีย์บอร์ด
-จอน นอรัม กีต้าร์
-จอห์น ลีเวน เบส
-โทนี่ รีโน กลอง
มีผลงานออกมาทั้งหมด 5 ชุด คือ
- ชุดที่ 1 ในปี 1983 อัลบั้ม EUROPE มี Single ดัง คือ SEVEN DOORS HOTEL
-ชุดที่ 2 ในปี 1984 อัลบั้ม WING OF TOMORROW
-ชุดที่ 3 ในปี 1986 อัลบั้ม THE FINAL COUNTDOWN มีเพลงดัง เช่น THE FINAL COUNTDOWN ขึ้นไปในอยู่ในอันดับ TOP 10 ของ BILLBOARD และเพลง CARRIE เพลงอันดับที่ 1 ยอดขายของอั้ลบั้มชุดนี้มากกว่า 7.8 ล้านชุด
-ชุดที่ 4 ในปี 1988 อัลบั้ม OUT OF THIS WORLD
-ชุดที่ 5 ในปี 1991 อัลบั้ม PRISONER IN PARADISE เป็นชุดสุดท้ายที่พวกเขาทำงานร่วมกัน หลังจากนั้น โจอีย์ นักร้องนำของวงก็ได้ออกอัลบั้มเดี่ยว ชื่อ A PLACE TO CALL HOME สไตร์ดนตรีแบบเวสโคสของอเมริกา อันเป็นบทสุดท้ายของวงดนตรีที่มีชื่อว่า EUROPE
ประวัติศิลปิน ไมเคิล เชงเกอร์ Micheal Schenker หนึ่งในสมาชิก UFO
ไมเคิล เชงเกอร์ Micheal Schenker
ในบรรดาเพลงร็อกระดับคลาสสิก ที่ได้รับการยกย่องของวงการว่าเป็นแบบอย่างให้กับศิลปินในรุ่นต่อมา ต้องมีชื่อของเพลง Rock Bottom ของคณะ UFO อยู่ในใจสาวกร็อกเกอร์ชาวไทยอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ด้วยท่อนริฟฟ์เปิดเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ โครงสร้างดนตรีที่แข็งแกร่ง และขาดไม่ได้คือท่อนโซโลที่ทั้งสวยงามและเร้าร้อน ที่ปลดปล่อยออกมาจากการสร้างสรรค์ของศิลปินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคนิกและจิตนาการ จนเป็นที่มาของบทเพลงที่เป็นอมตะของวงการเพลงโลก
มันอมตะเสียจนทุกคนที่เล่นกีตาร์ จะต้องตั้งเป้าด้วยการเล่นช่วงอินโทรของเพลงนี้ให้ได้กันทั้งนั้น และหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถก้าวไปสู่การเป็นผู้ที่สามารถลีดท่อนโซโลที่แสนเมามันและหมดจดนี้ได้ แน่นอนว่า ผู้ที่ได้กลายเป็นครูของนักกีตาร์มาแล้วรุ่นต่อรุ่นรายนี้ไม่ใช่ใครนอกจาก ไมเคิล เชงเกอร์ ตำนานมือกีตาร์ชาวเยอรมัน ผู้ที่ใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษในถนนดนตรี ด้วยการจารึกชื่อกับผลงานอมตะร่วมกับวงชั้นยอดมาแล้วมากมายทั้ง แมงป่องผยองเดช Scorpions, UFO และ MSG วงดนตรีที่เขาสร้างขึ้นด้วยบารมีของเขาเองโดยเฉพาะ Rock Bottom อาจจะโดดเด่นด้านความเมามัน แต่ถ้าแถมแฟนเพลงร็อกบ้านเรา ว่าชอบเพลงอะไรของ UFO มากที่สุด ร้อยทั้งร้อยคงหนีไม่พ้น High Flyer เพลงอคูสติกบัลลาด ที่ติดหูแฟนเพลงร็อกเมืองไทยมากว่า 20 ปี ขนาดที่ว่าถ้าไปผับร็อกเมืองไทยแล้วไม่ได้ฟังเพลงนี้แสดงว่าไปไม่ถูกที่
แม้จะได้ชื่อว่า โด่งดังมาจากวง UFO แต่วงร็อกวงแรกที่เขาแจ้งเกิดก็คือ Scorpions สุดยอดวงร็อกเยอรมันของรูดอล์ฟ เชงเกอร์ มือกีตาร์ผู้พี่ ซึ่งไมเคิลได้ใช้ Scorpions เป็นที่เพาะบ่มประสบการณ์ทางดนตรี จนกระทั้งฝีมือของเขาไปสะดุดตาของสมาชิก UFO วงร็อกชั้นดีจากอังกฤษ ที่กำลังต้องการมือกีตาร์เพื่อการแสดงในเยอรมันอยู่พบดิบพอดี UFO นี้เองที่เขาได้แผลงฤทธิ์การเล่นกีตาร์ระดับที่หาไม่ได้จากฝีมือเด็กหนุ่มวัย 19 คนไหน ที่ทั้งเร้าร้อน หมดจด และทรงพลัง ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกๆ แทร็คของอัลบั้มเปิดตัวของเขา Phenomenon เมื่อปี 1974 ซึ่งผลงานชุดนี้เองที่ช่วยยกระดับ UFO จากวงร็อกอังกฤษฝีมือดี กลายเป็นวงมหากาฬระดับแถวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปูรากฐานปรากฏการณ์ NWOBHM แก่วงการเมทัลในต้นยุค 80
ในเวลาต่อมา หลังจากสร้างชื่อกับ UFO มาตลอดยุค 70 แล้ว ก้าวต่อไปของไมเคิล เชงเกอร์ คือการสร้างโปรเจ็กท์ที่ตัวเขาเป็นผู้กำหนดรูปแบบของดนตรีได้อย่างแท้จริง MSG หรือ The Michael Schenker Group จึงได้กำเนิดขึ้น แม้ว่าจะไม่คลาสสิกเท่ากับวงที่เขาจากมา แต่มันก็อุดมไปด้วยผลงานดีๆ ที่แฟนเพลงไม่ควรมองข้ามมากมายทั้ง In To The Arena, Armed and Ready, Ready To Rock, On And On, Captain Nemo และเพลงที่ยังฝังใจสาวกอยู่ทุกวันนี้ Rook Will Never Die
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไมเคิล เชงเกอร์ ที่ติดตาแฟนเพลงอย่างดีก็คือกีตาร์ Gibson Flying V อันโดดเด่น ที่เขาได้เป็นของขวัญจากพี่ชายเมื่อยังเป็นเด็กจนเป็นแรงบันดาลในเส้นทางดนตรีอยู่ทุกวันนี้ สำหรับสายกีตาร์ร็อกแล้ว นอกจากแรนดี โรดส์แล้ว ก็มีเฮียไมเคิล เชงเกอร์เนี่ยแหล่ะที่เล่น Flying V ได้สะเด็ดสะเด่าที่สุด ขนาดป๋าออซซียังเคยออกปากชวนไมเคิล เชงเกอร์มาร่วมวงมาแล้ว หลังจากแรนดี โรดส์ต้องมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบินเมื่อต้นยุค 80
และในปี 2006 นี้ เขาได้ออกอัลบั้มใหม่ล่าสุด ฉลองครบรอบ 25 ปีของในวงการเพลงด้วยอัลบั้ม Tales of Rock & Roll ที่จะมาพร้อมกับ World Tour ของเขา
***ที่มา ผู้จัดการออนไลน์***
ในบรรดาเพลงร็อกระดับคลาสสิก ที่ได้รับการยกย่องของวงการว่าเป็นแบบอย่างให้กับศิลปินในรุ่นต่อมา ต้องมีชื่อของเพลง Rock Bottom ของคณะ UFO อยู่ในใจสาวกร็อกเกอร์ชาวไทยอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ด้วยท่อนริฟฟ์เปิดเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ โครงสร้างดนตรีที่แข็งแกร่ง และขาดไม่ได้คือท่อนโซโลที่ทั้งสวยงามและเร้าร้อน ที่ปลดปล่อยออกมาจากการสร้างสรรค์ของศิลปินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคนิกและจิตนาการ จนเป็นที่มาของบทเพลงที่เป็นอมตะของวงการเพลงโลก
มันอมตะเสียจนทุกคนที่เล่นกีตาร์ จะต้องตั้งเป้าด้วยการเล่นช่วงอินโทรของเพลงนี้ให้ได้กันทั้งนั้น และหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถก้าวไปสู่การเป็นผู้ที่สามารถลีดท่อนโซโลที่แสนเมามันและหมดจดนี้ได้ แน่นอนว่า ผู้ที่ได้กลายเป็นครูของนักกีตาร์มาแล้วรุ่นต่อรุ่นรายนี้ไม่ใช่ใครนอกจาก ไมเคิล เชงเกอร์ ตำนานมือกีตาร์ชาวเยอรมัน ผู้ที่ใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษในถนนดนตรี ด้วยการจารึกชื่อกับผลงานอมตะร่วมกับวงชั้นยอดมาแล้วมากมายทั้ง แมงป่องผยองเดช Scorpions, UFO และ MSG วงดนตรีที่เขาสร้างขึ้นด้วยบารมีของเขาเองโดยเฉพาะ Rock Bottom อาจจะโดดเด่นด้านความเมามัน แต่ถ้าแถมแฟนเพลงร็อกบ้านเรา ว่าชอบเพลงอะไรของ UFO มากที่สุด ร้อยทั้งร้อยคงหนีไม่พ้น High Flyer เพลงอคูสติกบัลลาด ที่ติดหูแฟนเพลงร็อกเมืองไทยมากว่า 20 ปี ขนาดที่ว่าถ้าไปผับร็อกเมืองไทยแล้วไม่ได้ฟังเพลงนี้แสดงว่าไปไม่ถูกที่
แม้จะได้ชื่อว่า โด่งดังมาจากวง UFO แต่วงร็อกวงแรกที่เขาแจ้งเกิดก็คือ Scorpions สุดยอดวงร็อกเยอรมันของรูดอล์ฟ เชงเกอร์ มือกีตาร์ผู้พี่ ซึ่งไมเคิลได้ใช้ Scorpions เป็นที่เพาะบ่มประสบการณ์ทางดนตรี จนกระทั้งฝีมือของเขาไปสะดุดตาของสมาชิก UFO วงร็อกชั้นดีจากอังกฤษ ที่กำลังต้องการมือกีตาร์เพื่อการแสดงในเยอรมันอยู่พบดิบพอดี UFO นี้เองที่เขาได้แผลงฤทธิ์การเล่นกีตาร์ระดับที่หาไม่ได้จากฝีมือเด็กหนุ่มวัย 19 คนไหน ที่ทั้งเร้าร้อน หมดจด และทรงพลัง ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกๆ แทร็คของอัลบั้มเปิดตัวของเขา Phenomenon เมื่อปี 1974 ซึ่งผลงานชุดนี้เองที่ช่วยยกระดับ UFO จากวงร็อกอังกฤษฝีมือดี กลายเป็นวงมหากาฬระดับแถวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปูรากฐานปรากฏการณ์ NWOBHM แก่วงการเมทัลในต้นยุค 80
ในเวลาต่อมา หลังจากสร้างชื่อกับ UFO มาตลอดยุค 70 แล้ว ก้าวต่อไปของไมเคิล เชงเกอร์ คือการสร้างโปรเจ็กท์ที่ตัวเขาเป็นผู้กำหนดรูปแบบของดนตรีได้อย่างแท้จริง MSG หรือ The Michael Schenker Group จึงได้กำเนิดขึ้น แม้ว่าจะไม่คลาสสิกเท่ากับวงที่เขาจากมา แต่มันก็อุดมไปด้วยผลงานดีๆ ที่แฟนเพลงไม่ควรมองข้ามมากมายทั้ง In To The Arena, Armed and Ready, Ready To Rock, On And On, Captain Nemo และเพลงที่ยังฝังใจสาวกอยู่ทุกวันนี้ Rook Will Never Die
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไมเคิล เชงเกอร์ ที่ติดตาแฟนเพลงอย่างดีก็คือกีตาร์ Gibson Flying V อันโดดเด่น ที่เขาได้เป็นของขวัญจากพี่ชายเมื่อยังเป็นเด็กจนเป็นแรงบันดาลในเส้นทางดนตรีอยู่ทุกวันนี้ สำหรับสายกีตาร์ร็อกแล้ว นอกจากแรนดี โรดส์แล้ว ก็มีเฮียไมเคิล เชงเกอร์เนี่ยแหล่ะที่เล่น Flying V ได้สะเด็ดสะเด่าที่สุด ขนาดป๋าออซซียังเคยออกปากชวนไมเคิล เชงเกอร์มาร่วมวงมาแล้ว หลังจากแรนดี โรดส์ต้องมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบินเมื่อต้นยุค 80
และในปี 2006 นี้ เขาได้ออกอัลบั้มใหม่ล่าสุด ฉลองครบรอบ 25 ปีของในวงการเพลงด้วยอัลบั้ม Tales of Rock & Roll ที่จะมาพร้อมกับ World Tour ของเขา
***ที่มา ผู้จัดการออนไลน์***
ประวัติศิลปิน อะเดล ADELE
ประวัติศิลปิน อะเดล ADELE
อะเดล Adele หรือชื่อเต็มว่า อะเดล ลอรี บลู แอดกินส์ ( Adele Laurie Blue Adkin) เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1988 ทางตอนเหนือของลอนดอน เป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดของเกาะอังกฤษ หลังจากออกซิงเกิล Hometown Glory เธอก็สามารถคว้ารางวัล Brit Awards ตามด้วยซิงเกิลที่ 2 Chasing Pavements ที่กระโดดขึ้นชาร์ตอังกฤษในอันดับที่ 2 และรับรางวัล Sound of 2008 จาก BBC ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะออกอัลบัมเต็มชุดแรก ที่ชื่อว่า 19 คว้ารางวัลแกรมมี่ ปี 2009 ในสาขา Best New Artist และ Best Female Pop Vocal Performance ในวัยเรียน อะเดล ย้ายไปอยู่โรงเรียนบริตสกูล ย่านเซลเฮิร์สท ที่มีรุ่นพี่ร่วมสถาบันอย่างเอมี ไวน์เฮาส์, สมาชิกวง The Feeling และเคต แนช เริ่มต้นความสำเร็จ ผ่าน Myspace ที่เพื่อนเธอสร้างโฮมเพจให้ ในปี 2004 แต่ก็ต้องรอจนปี 2006 กว่าค่ายเพลงจะเห็นความสามารถของเธอ
อะเดลได้รับความสนใจจากค่ายเพลงมากมาย แต่เธอเลือก XL ซึ่งเป็นค่ายอิสระและมีจุดเด่นในศิลปินที่มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นวงร็อคอย่าง The White Stripes หรือแร็ปเปอร์ ดิซซี ราสกาล ที่เหมาะกับศิลปินที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างอะเดล และ XL วางจำหน่ายอัลบัมแรกของเธอที่ชื่อว่า 19 เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล อกหักทว่าสวยงามเกินบรรยาย เพลง Chasing Pavements ที่ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากทั้งอังกฤษ และรวมถึงประเทศไทย การแสดงใน BRIT Awards ด้วยเพลง Someone Like You งานจากอัลบั้มชุดที่ 2 ชื่อ 21 ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ที่ UK ทำให้เธอได้รับความสนใจอย่างมากในอเมริกา จนอัลบั้มสามารถขึ้นอันดับ 1 ใน Chat ฝั่งอเมริกา ได้ คืนวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ 255 ที่ Staple Center ในนคร Los Angeles รัฐ California มีงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 54 และงานไว้อาลัยต่อ Whitney Houston ผู้เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ก่อนหน้าการประกาศรางวัลเพียงหนึ่งวัน งานนี้ Adele นักร้องหญิงอังกฤษวัย 23 ปี คือผู้ชนะในงานประกาศผลรางวัล Grammy ครั้งที่ 54 โดยคว้ารางวัลสำคัญ 6 รางวัลรวมถึงอัลบั้มแห่งปี อัลบั้มเพลงป๊อบยอดเยี่ยม “21” และเพลงแห่งปี “Rolling in the Deep”
ประวัติวงดนตรีคณะ แอโรสมิธ ( AEROSMITH)
ประวัติวงดนตรีคณะ แอโรสมิธ ( AEROSMITH)
Aerosmith เป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุด วงหนึ่งในยุค 70 พวกเขาเป็นวงฮาร์ดร็อค ที่มีพื้นฐานดนตรี แบบบลูส์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากวงโรลลิ่ง สโตนส์ และเล็ด เซ็พพลิน โดยมี สตีเว่น ไทเลอร์ นักร้องนำและ โจ เพอร์รี่ มือกีต้าร์ ร่วมกันก่อตั้งวงขึ้นในปีค.ศ. 1970 ในช่วงสิ้นปีนั้น ทอม แฮมิลตัน มือเบส, แบรด วิทฟอร์ดมือริธึ่มกีต้าร์ และโจอี้ เครเมอร์ มือกลอง ก็เข้ามาสมทบ
วงดนตรีจากบอสตันวงนี้ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง โคลัมเบีย เร็คคอร์ดส ในปี 1972 และ1 ปีให้หลังก็ออกผลงานชิ้นแรกในนาม Aerosmith อัลบั้มดังกล่าว มีเพลงเด่นเป็นเพลงช้าที่ทรงพลังอย่าง Dream On ซึ่งขึ้นถึงอันดับที่ 59 ในอันดับเพลงป๊อป ของนิตยสารบิลบอร์ด อัลบั้มชุดต่อมาคือ Get Your Wings ออกขายในปี 1974 และติดอันดับ อัลบั้มของบิลบอร์ด อยู่นานถึง 86 สัปดาห์ อัลบั้ม Toys In The Attic ในปีค.ศ. 1975 เป็นอัลบั้มสร้างชื่อของ Aerosmith ด้วยความแรงของ สองซิงเกิ้ลเอกของอัลบั้มคือ Walk This Way กับ Sweet Emotion ทั้งสองเพลงขึ้นถึงอันดับ 10 และ 36 ตามลำดับ และตัวอัลบั้มเองก็ขึ้นถึงอันดับ 11 แต่อัลบั้มชุด Rocks ที่ออกขายในเดือนพฤษภาคม ปี 1976 เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะขึ้นขึ้นถึงอันดับ 3 ช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 และ 80 สมาชิกวง
Aerosmith เริ่มมีปัญหาเรื่องยาเสพติด หลังการลาออกของโจ เพอร์รี่ และแบรด วิทฟอร์ด สถานภาพของวงก็เริ่มง่อนแง่น แต่เมื่อสมาชิกดั้งเดิมของวง กลับมารวมตัวกันใหม่ในปี 1985 เพื่อทำอัลบั้ม Done With Mirrors อัลบั้มดังกล่าวก็ขึ้นถึงอันดับที่ 36 ทำให้การหวนคืนสู่อันดับเพลงของAerosmith กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงร็อค ถึงเวลานี้ น้อยคนที่จะสงสัยว่า Aerosmith จะยังคงสามารถออกอัลบั้ม ที่ประสพความสำเร็จได้เทียมเท่า หรือมากกว่าผลงานในยุคทศวรรษที่ 70 หรือไม่ ความสำเร็จครั้งใหม่เริ่มต้นเมื่อสตีเว่น ไทเลอร์ และ โจ เพอร์รี่ ที่เพิ่งออกจากสถานบำบัดผู้ติดยา นำเพลงเก่าของรัน ดีเอ็มซี คือ Walk This Way มาทำใหม่ และไต่ขึ้นถึงอันดับที่ 4 หลังจากการทำสัญญากับ เกฟเฟ่น เร็คคอร์ดส
Aerosmith เริ่มออกผลงานชุดแรกในสังกัดนี้ ในปี 1987 คือ Permanent Vacation ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง Angel (ขึ้นถึงอันดับ 3) และ Dude (Looks Like A Lady) (อันดับ 12) ปี 1993 Aerosmithกลับมา พร้อมกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยอัลบั้ม Get A Grip ซึ่งอยู่ในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดนานถึง 92 สัปดาห์ และทำให้พวกเขามีเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้เป็นครั้งแรก
ในปี 1998 วงที่ดูเหมือนจะไม่มีวันแก่วงนี้ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอันดับเพลงของ บิลบอร์ดอีกครั้ง ด้วยเพลง I Don't Want To Miss A Thing ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Armageddon จนถึงปี2001 พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้ม jaded กับ sony music
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ประวัติศิลปิน เลดี้ แอนเทเบลลัม LADY ANTEBELLUM
ประวัติศิลปิน เลดี้ แอนเทเบลลัม LADY ANTEBELLUM
เลดี้ แอนเทเบลลัม ( LADY ANTEBELLUM ) เป็นวงคันทรี่ ที่มีสมาชิก 3 คน ก่อตั้งในปี 2006 โดย
-ชาร์ลส์ เคลลี่ (พี่ชายของนักร้อง/นักแต่งเพลง จอช เคลลี่)
-ฮิลลารี่ สก็อทท์ (ลูกสาวของ ลินดา เดวิส นักร้องคันทรี่ระดับรางวัลแกรมมี่)
-เดฟ เฮย์วู้ด ผู้ที่เล่นดนตรีได้หลายชนิด
ทั้ง 3 สร้างชื่อจากการเล่นตามบาร์ในแนชวิลล์ จนได้เล่นเปิดให้ศิลปินดังๆ ที่ แกรนด์ โอล โอพรี และนำมาถึงการได้เซ็นสัญญากับสังกัดใหญ่ แคปิตอล แนชวิลล์ ในปี 2007 พวกเขาออกอัลบั้มแรกในปี 2008 ประสบความสำเร็จทันทีด้วยเพลงฮิท อย่าง Love Don’t Live Here และ I Run To You เพลงหลังนอกจากจะติดอันดับ 1 บนตารางคันทรี่ ยังข้ามไปติด TOP 40 บนตารางเพลงป๊อป ส่วนตัวอัลบั้นก็เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ด้วย
อัลบั้มชุดที่ 2 (2010) อัลบั้ม Need You Now และ ซิงเกิ้ลชื่อเดียวกัน ที่ตัดออกมาก่อนก็ติดอันดับ 1 คันทรี่ และติดอันดับ 2 บนตารางป็อป และเพียง 3 สัปดาห์ อัลบั้มชุดนี้ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาว จุดเด่นของวง คือ เคลลี่ และ สก็อทท์ เป็นเสียงร้องนำ แต่ก็สมบูรณ์ด้วยเสียงประสานที่ 3 ของ เฮย์วู้ด เสียงบาริโทน ของ เคลลี่ ได้อารมณ์ มีความหมาย และลึกซึ่งในทุกแบบของเพลงที่เขาร้อง ขณะที่ สก็อทท์ อาจจะไม่พิเศษไปจากนักร้องหญิงคนอื่นๆ ในคันทรี่ แต่เธอวางจังหวะการปล่อยคำได้อย่างน่าฟัง และตีความเพลงได้ถึงที่เนื้อหาที่ต้องการ
***ขอบคุณข้อมูลจาก The Season Magazine ปีที่ 21 ฉบับที่ 10 -2553****
เลดี้ แอนเทเบลลัม ( LADY ANTEBELLUM ) เป็นวงคันทรี่ ที่มีสมาชิก 3 คน ก่อตั้งในปี 2006 โดย
-ชาร์ลส์ เคลลี่ (พี่ชายของนักร้อง/นักแต่งเพลง จอช เคลลี่)
-ฮิลลารี่ สก็อทท์ (ลูกสาวของ ลินดา เดวิส นักร้องคันทรี่ระดับรางวัลแกรมมี่)
-เดฟ เฮย์วู้ด ผู้ที่เล่นดนตรีได้หลายชนิด
ทั้ง 3 สร้างชื่อจากการเล่นตามบาร์ในแนชวิลล์ จนได้เล่นเปิดให้ศิลปินดังๆ ที่ แกรนด์ โอล โอพรี และนำมาถึงการได้เซ็นสัญญากับสังกัดใหญ่ แคปิตอล แนชวิลล์ ในปี 2007 พวกเขาออกอัลบั้มแรกในปี 2008 ประสบความสำเร็จทันทีด้วยเพลงฮิท อย่าง Love Don’t Live Here และ I Run To You เพลงหลังนอกจากจะติดอันดับ 1 บนตารางคันทรี่ ยังข้ามไปติด TOP 40 บนตารางเพลงป๊อป ส่วนตัวอัลบั้นก็เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ด้วย
อัลบั้มชุดที่ 2 (2010) อัลบั้ม Need You Now และ ซิงเกิ้ลชื่อเดียวกัน ที่ตัดออกมาก่อนก็ติดอันดับ 1 คันทรี่ และติดอันดับ 2 บนตารางป็อป และเพียง 3 สัปดาห์ อัลบั้มชุดนี้ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาว จุดเด่นของวง คือ เคลลี่ และ สก็อทท์ เป็นเสียงร้องนำ แต่ก็สมบูรณ์ด้วยเสียงประสานที่ 3 ของ เฮย์วู้ด เสียงบาริโทน ของ เคลลี่ ได้อารมณ์ มีความหมาย และลึกซึ่งในทุกแบบของเพลงที่เขาร้อง ขณะที่ สก็อทท์ อาจจะไม่พิเศษไปจากนักร้องหญิงคนอื่นๆ ในคันทรี่ แต่เธอวางจังหวะการปล่อยคำได้อย่างน่าฟัง และตีความเพลงได้ถึงที่เนื้อหาที่ต้องการ
***ขอบคุณข้อมูลจาก The Season Magazine ปีที่ 21 ฉบับที่ 10 -2553****
ประวัติวงดนตรีคณะ สคิด โรว์ (Skid Row)
ประวัติคณะ สคิด โรว์ (Skid Row)
Skid Row เป็นวงฮาร์ดร็อก เฮฟวี่ เมทัล ด้วยดนตรีที่หนักหน่วง เข้มข้น เสียงร้องที่สูงและทรงพลัง โด่งดังมากในยุคปี 1988-2000 ตั้งวงกันในนิวเจอร์ซีย์ ปี 1986 โดย
ราเชล โบลัน (Rachel Bolan) มือเบส และ เดฟ ซาโบ (Dave “The Snake” Sabo) มือกีต้าร์ และต่อมาได้มือกีตาร์ สกอตตี้ ฮิลล์ (Scotti Hill) ร็อบ แฮมเมอร์สมิท (Rob Hammersmith)มือกลอง มาร่วมวง นักร้องนำยุคแรก คือ แมตต์ ฟัลลอน (Matt Fallon) ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เซบาสเตียน บาก(Sebastian Bach)
ปี 1987 ห้าหนุ่มตระเวนเล่นดนตรีตามคลับทั่วฝั่งตะวันออกและได้พบกับ จอน บอง โจวี่ นักร้องนำวง Bon Jovi ซึ่งสนิทกับ ซาโบ ได้ช่วยเหลือให้ Skid Row ไปบันทึกเสียงกับค่ายแอตแลนติก
ปี 1989 เปิดตัวอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับชื่อวง ประสบความสำเร็จทั่วโลก มีเพลงฮิตสุดร้อนแรง 3 เพลง ได้แก่
-18 and Life
- I Remember You
- Youth Gone Wild
โดยเฉพาะเพลง 18 and Life เป็นซิงเกิ้ลติดหูบรรดาสาวก เนื้อหาเข้มข้นหนักหน่วงมาก กล่าวถึงริกกี้เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ใช้ชีวิตเสเพลข้างถนนหลังถูกไล่ออกจาก โรงเรียน ทำตัวเหมือนขยะสังคม ดื่มเหล้า และรับจ้างทำงานไปวันๆ โดยดื่มหนักมากจนท้ายสุดยิงเพื่อนตัวเองตายและต้องติดคุกทั้งที่อายุเพียง 18 ปี
ความสำเร็จจากอัลบั้มแรกทำให้มีทัวร์คอนเสิร์ตแน่นตลอดปี ในปี 1991 เปิดตัวอัลบั้มที่ 2 ชื่อ Slave to the Grind ติดอันดับ 1 ของชาร์ตเพลงฮิตของอเมริกา จนได้เดินสายทัวร์รอบโลกข้ามปี สี่ปีต่อมาคลอดอัลบั้มที่ 3 Subhuman Race แต่ชื่อเสียงเริ่มซา เพลงไต่ขึ้นชาร์ตได้แค่อันดับ 40 เท่านั้น กระทั่งปี 1997 บากโดนไล่ออกจากวงหลังทัวร์คอนเสิร์ตกับวงระดับตำนานอย่าง Kiss เนื่องจากความก้าวร้าว เมา และควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เกิดการผ่าตัดวง Skid Row ขนานใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Ozone Monday ได้ ชอว์น แม็กคาเบ เข้ามาเป็นนักร้องนำคนใหม่
Skid Row เป็นวงฮาร์ดร็อก เฮฟวี่ เมทัล ด้วยดนตรีที่หนักหน่วง เข้มข้น เสียงร้องที่สูงและทรงพลัง โด่งดังมากในยุคปี 1988-2000 ตั้งวงกันในนิวเจอร์ซีย์ ปี 1986 โดย
ราเชล โบลัน (Rachel Bolan) มือเบส และ เดฟ ซาโบ (Dave “The Snake” Sabo) มือกีต้าร์ และต่อมาได้มือกีตาร์ สกอตตี้ ฮิลล์ (Scotti Hill) ร็อบ แฮมเมอร์สมิท (Rob Hammersmith)มือกลอง มาร่วมวง นักร้องนำยุคแรก คือ แมตต์ ฟัลลอน (Matt Fallon) ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เซบาสเตียน บาก(Sebastian Bach)
ปี 1987 ห้าหนุ่มตระเวนเล่นดนตรีตามคลับทั่วฝั่งตะวันออกและได้พบกับ จอน บอง โจวี่ นักร้องนำวง Bon Jovi ซึ่งสนิทกับ ซาโบ ได้ช่วยเหลือให้ Skid Row ไปบันทึกเสียงกับค่ายแอตแลนติก
ปี 1989 เปิดตัวอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับชื่อวง ประสบความสำเร็จทั่วโลก มีเพลงฮิตสุดร้อนแรง 3 เพลง ได้แก่
-18 and Life
- I Remember You
- Youth Gone Wild
โดยเฉพาะเพลง 18 and Life เป็นซิงเกิ้ลติดหูบรรดาสาวก เนื้อหาเข้มข้นหนักหน่วงมาก กล่าวถึงริกกี้เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ใช้ชีวิตเสเพลข้างถนนหลังถูกไล่ออกจาก โรงเรียน ทำตัวเหมือนขยะสังคม ดื่มเหล้า และรับจ้างทำงานไปวันๆ โดยดื่มหนักมากจนท้ายสุดยิงเพื่อนตัวเองตายและต้องติดคุกทั้งที่อายุเพียง 18 ปี
ความสำเร็จจากอัลบั้มแรกทำให้มีทัวร์คอนเสิร์ตแน่นตลอดปี ในปี 1991 เปิดตัวอัลบั้มที่ 2 ชื่อ Slave to the Grind ติดอันดับ 1 ของชาร์ตเพลงฮิตของอเมริกา จนได้เดินสายทัวร์รอบโลกข้ามปี สี่ปีต่อมาคลอดอัลบั้มที่ 3 Subhuman Race แต่ชื่อเสียงเริ่มซา เพลงไต่ขึ้นชาร์ตได้แค่อันดับ 40 เท่านั้น กระทั่งปี 1997 บากโดนไล่ออกจากวงหลังทัวร์คอนเสิร์ตกับวงระดับตำนานอย่าง Kiss เนื่องจากความก้าวร้าว เมา และควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เกิดการผ่าตัดวง Skid Row ขนานใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Ozone Monday ได้ ชอว์น แม็กคาเบ เข้ามาเป็นนักร้องนำคนใหม่
ราคาค่าโฆษณาประจำเดือน พฤศจิกายน 2556 - ธันวาคม 2556
ค่าโฆษณาทางสถานีวิทยุนครสวรรค์ตก HAPPY RADIO FM 89.5 MHZ. จ.นครสวรรค์
ประจำเดือน พฤศจิกายน 2556 - ธันวาคม 2556
1. โฆษณาในรายการวิทยุ แฮปปี้เรดิโอ 1 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน
โดยมีดีเจ พูดประชาสัมพันธ์ 2 ครั้ง และเปิดสปอต 2 ครั้ง ต่อวัน
ช่วงเวลาที่เลือกได้
9.00 - 10.00 น.
10.00 - 11.00 น.
14.00 - 15.00 น.
15.00 - 16.00 น.
2. แถมเปิดสปอตช่วงต้นชั่วโมงหลังข่าว อีกวันละ 3 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 1 เดือน
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 3,000 บาท
หมายเหตุ. -
1. ปกติค่าโฆษณาในรายการ ชั่วโมงละ 4,000 บาท ต่อเืดือน
2. ค่าสปอตวิทยุ ต้นชั่วโมง ครั้งละ 25 บาท
3. พื้นที่การกระจายเสียงในเขต จ.นครสวรรค์ และ บางส่วนของจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุทัยธานี ,กำแพงเพชร,พิจิตร และช้ัยนาท
สนใจลงโฆษณาติดต่อ คุณนรินทร์ สวนศิลป์พงศ์ 081-1725974 E-mail : happyradio_2555@hotmail.com
ประจำเดือน พฤศจิกายน 2556 - ธันวาคม 2556
1. โฆษณาในรายการวิทยุ แฮปปี้เรดิโอ 1 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน
โดยมีดีเจ พูดประชาสัมพันธ์ 2 ครั้ง และเปิดสปอต 2 ครั้ง ต่อวัน
ช่วงเวลาที่เลือกได้
9.00 - 10.00 น.
10.00 - 11.00 น.
14.00 - 15.00 น.
15.00 - 16.00 น.
2. แถมเปิดสปอตช่วงต้นชั่วโมงหลังข่าว อีกวันละ 3 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 1 เดือน
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 3,000 บาท
หมายเหตุ. -
1. ปกติค่าโฆษณาในรายการ ชั่วโมงละ 4,000 บาท ต่อเืดือน
2. ค่าสปอตวิทยุ ต้นชั่วโมง ครั้งละ 25 บาท
3. พื้นที่การกระจายเสียงในเขต จ.นครสวรรค์ และ บางส่วนของจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุทัยธานี ,กำแพงเพชร,พิจิตร และช้ัยนาท
สนใจลงโฆษณาติดต่อ คุณนรินทร์ สวนศิลป์พงศ์ 081-1725974 E-mail : happyradio_2555@hotmail.com
ประวัติวงดนตรีคณะ URIAH HEEP
ประวัติวงดนตรีคณะ URIAH HEEP
ถือกำเนิดโดย 2 หนุ่ม คือ Mick Box สมาชิกถาวรในตำแหน่งมือกีตาร์ และนักร้องนำ กับ David Byron หรือชื่อจริง David Garrick นักร้องนำรุ่นแรก ที่อยู่กับวงระหว่างปี 1969-1976 ทั้งคู่เล่นดนตรีร่วมกันในนาม The Stalkers ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1960 ก่อนจะชวนนักดนตรีอีก 2 คน มาร่วมงานในชื่อ Spice ระยะสั้นๆ คือ Paul Newton มือเบส และ Alex Napler มือกลอง และภายหลังได้ Ken Hensley มาเป็นมือคีย์บอร์ด จึงได้เปลี่ยนชื่อวงมาเป็น URIAH HEEP ที่มีที่มาจากตัวละครตัวหนึ่งในวรรณกรรม อมตระ "David Copperfield " ของ Charles Dickens
เป็นวงร็อก ที่เปลี่ยนนักดนตรีค่อนข้างเปลือง ตั้งแต่ปี 1971-1980 URIAH HEEP เปลี่ยนมือกลอง 5 คน มือเบส 4 คน และมือโซโลกีต้าร์ 2 คน
อัลบั้มแรก Very 'eavy....Very 'umble ในอเมริกาใช้ชื่่ออัลบััั้มชื่อเดียวกับชื่อวง มีเพลงดัง Gypsy และ I"LL Keep On Trying อัลบั้มเปิดตัวในชาร์ท สูงสุดอันดับที่ 186
อัลบั้มชุดที่ 2 "Salisbury" ในปี 1971 เปิดตัวด้วยเพลงดัง Bird of Prey ความยาว 16 นาที กับวงออร์เคสตร้าขนาดย่อม 24 ชิ้น ผสมผสานกับนักร้องประสานเสียง และเสียงร้องนำกับท่อนโซโลแบบโพรเกรสสีฟร็อก ที่น่าจดจำ
ปี 1971 อัลบั้ม Look At Yourself มีเพลงดัง July Morning
และอัลบั้ม Demons And Wizards ปี 1972 มีเพลงดัง The Wizard ,Easy Livin
และสุดยอดอัลบั้มในช่วงปลายปี 1972 อัลบั้ม The Magician's Birthday ที่นักวิจารณ์บางคนยกย่องว่าเป็นการพัฒนาก้าวข้ามขอบเขตของความว่างเปล่า ทางดนตรีเฮฟวีเมทัลดั้งเดิม ไปสู่เนื้อหาที่หนักแน่น และจินตนาการบรรเจิดระดับเดียวกับ Dark Side Of The Moon ของ Pink Floyd และ Close To The Edge ของ YES ด้วยเพลง Sunrise,Spider Woman ,Sweet Lorraine
***ข้อมูลจากหนังสือ ร็อก ช็อค โลก โดย ขาบ เจรียง
ประวัติวงดนตรีคณะ เอซี/ดีซี ( AC/DC )
เอซี/ดีซี ( AC/DC )
วงดนตรี HARD ROCK ที่โด่งดังในยุค 70 ฟอร์มวงโดย 2 พี่น้อง MALCOLM และ ANGUS YOUNG โดยย้ายจากกลาสโลว์ สก็อตแลนด์ สู่ เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย พวกเขาได้รับอิทธิพลทางดนตรี จากวงเรือเหาะมหากาฬคณะ LED ZEPPELIN และวงหินกลิ้ง คณะ ROLLING STONES ได้ฟอร์มวงในปี 1973 โดยมี BON SCOTT ซึ่งเดิมเป็นมือกลอง แต่ถูกจับให้มาเป็นนักร้องนำ และมีสมาชิกอีก 2 คน คือ PHILIPP RODD มาตีกลองแทน และ MARK EVAN มาเล่นเบส
มีอัลบั้มชุดแรก HIGH VOLTAGE และมีซิงเกิ้ล T.N.T เป็นเพลงดัง แต่อัลบั้มที่โด่งดังมากๆ คือ HIGHWAY TO HELL ในปี 1979 อัลบั้มขึ้นอันดับ 22 ใน USA และอันดับ 10 ใน UK
ในปี 1980 BON SCOTT นักร้องนำ เสียชีวิตจากการดื่มเหล้า ทางวงได้ BRIAN JOHNSON มาเป็นนักร้องนำแทนที่ และมีอัลบั้มชุด BACK IN BLACK ในปี 1980 ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขายได้มากกว่า 12 ล้านแผ่น ขึ้นอันดับ 6 ใน USA และอันดับ 3 ใน UK ล่าสุดพวกเขามีอัลบั้มใหม่ ที่มีชื่อว่า BLACK ICE (2009)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R.)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R.)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R - Creedence Clearwater Revival) ฟอร์มวงในยุค 60 แกนนำของวง คือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty เล่นดนตรีออกทางแนวเซาธ์เธินท์ร๊อค หรือร๊อคแบบทางใต้ของอเมริกา บทเพลงมีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคม
สมาชิกของวงมี 4 คน ประกอบด้วย
จอห์น โฟเกอร์ตี้ (กีตาร์, ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา, เปียโน), ทอม โฟเกอร์นตี้ (พี่ชาย -กีตาร์, เปียโน), สตู คุค (เบส) และ ดั๊ก คลิฟฟอร์ด (กลอง และเพอร์คัสชัน)
ซีซีอาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซิงเกิล "Suzie Q" ของวง เป็นเพลงแรกที่ขึ้นไปถึงอันดับ Top 40 ในปี 1968 ในปีต่อมาเพลง "Proud Mary" ขึ้นถึงอันดับ 2 ของบิลบอร์ด ทางวงมีผลงานอัลบั้มทั้งสิ้น 7 ชุด มีซิงเกิลขึ้นถึงอันดับ 2 ของอเมริกาทั้งสิ้น 7 เพลง ก่อนจะประกาศยุบวงในปี 1972
เพลงที่โด่งดังอีกเพลงที่คนไทยรู้จักอย่างดี คือ Have You Ever Seen The Rain? บทเพลงที่ประท้วงสงครามเวียดนาม พูดถึงสายฝนในเวียดนาม (ฝนดำที่เต็มไปด้วยยาพิษ)
คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R - Creedence Clearwater Revival) ฟอร์มวงในยุค 60 แกนนำของวง คือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty เล่นดนตรีออกทางแนวเซาธ์เธินท์ร๊อค หรือร๊อคแบบทางใต้ของอเมริกา บทเพลงมีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคม
สมาชิกของวงมี 4 คน ประกอบด้วย
จอห์น โฟเกอร์ตี้ (กีตาร์, ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา, เปียโน), ทอม โฟเกอร์นตี้ (พี่ชาย -กีตาร์, เปียโน), สตู คุค (เบส) และ ดั๊ก คลิฟฟอร์ด (กลอง และเพอร์คัสชัน)
ซีซีอาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซิงเกิล "Suzie Q" ของวง เป็นเพลงแรกที่ขึ้นไปถึงอันดับ Top 40 ในปี 1968 ในปีต่อมาเพลง "Proud Mary" ขึ้นถึงอันดับ 2 ของบิลบอร์ด ทางวงมีผลงานอัลบั้มทั้งสิ้น 7 ชุด มีซิงเกิลขึ้นถึงอันดับ 2 ของอเมริกาทั้งสิ้น 7 เพลง ก่อนจะประกาศยุบวงในปี 1972
เพลงที่โด่งดังอีกเพลงที่คนไทยรู้จักอย่างดี คือ Have You Ever Seen The Rain? บทเพลงที่ประท้วงสงครามเวียดนาม พูดถึงสายฝนในเวียดนาม (ฝนดำที่เต็มไปด้วยยาพิษ)